ภูมิใจไทยขู่ถอนตัวจากรัฐบาล หากเพื่อไทยไม่ยอมให้คุมกระทรวงมหาดไทย "อนุทิน" ไม่ร่วมแถลงข่าวกับนายกฯ เป็นสัญญาณชัดเจน
สถานการณ์การเมืองไทยกำลังกลายเป็นประเด็นร้อน เมื่อกระแสข่าวปรับ ครม. แพทองธาร 2" กลายเป็นชนวนความขัดแย้งสำคัญระหว่างเพื่อไทยและภูมิใจไทย พรรคร่วมรัฐบาลหลัก โดยมีกระทรวงมหาดไทย เป็นเดิมพัน
ในช่วงเวลาเพียง 3 วันที่ผ่านมา บรรยากาศทางการเมืองภายในพรรคร่วมรัฐบาลกำลังร้อนแรงเป็นพิเศษ เมื่อพรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทย ต่างแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนในการช่วงชิงเก้าอี้ "กระทรวงมหาดไทย" ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกระทรวงหลักของประเทศ และมีอำนาจกำกับดูแลหน่วยงานสำคัญระดับภูมิภาค
ความเคลื่อนไหวเริ่มชัดเจนตั้งแต่ต้นสัปดาห์ เมื่อพรรคเพื่อไทยส่งสัญญาณผ่านวงในว่าต้องการดึงกระทรวงมหาดไทยกลับมาควบคุมอีกครั้ง ขณะเดียวกันพรรคภูมิใจไทยก็ไม่ยอมถอย
ในช่วง 3 วันล่าสุด มีการเจรจาระหว่างผู้มีอำนาจทั้งสองพรรคอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะในวงหารือระดับสูงของรัฐบาล และยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน ขณะที่สื่อต่างจับตาความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เพราะหากมีการปรับคณะรัฐมนตรีจริง ย่อมกระทบต่อสมดุลของพรรคร่วมในรัฐบาลชุดปัจจุบัน
นายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้ประกาศจุดยืนอย่างชัดเจนว่า หากพรรคเพื่อไทยต้องการที่จะยึดกระทรวงมหาดไทยคืน พรรคภูมิใจไทยพร้อมที่จะถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล
สัญญาณความไม่พอใจนี้ชัดเจนขึ้นเมื่อนายอนุทินไม่ได้ยืนเคียงข้างนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ในการแถลงข่าวหลังการประชุม ครม. นอกจากนี้ นายอนุทินยังได้ตั้งคำถามอย่างตรงไปตรงมาว่า "ใครกันแน่ที่ต้องการกระทรวงมหาดไทย" พร้อมทั้งอ้างถึงข้อตกลงเดิมในการจัดตั้งรัฐบาล
ในทางกลับกัน นายกฯ แพทองธาร ได้ระบุว่ายังไม่มีการพูดคุยเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรีกับนายอนุทิน และเน้นย้ำว่าที่ผ่านมาเป็นการหารือกันเรื่องเนื้องานและนโยบายเท่านั้น พร้อมทั้งยืนยันว่าไม่ได้รับทราบเรื่องการถอนตัวจากนายอนุทินเมื่อวันก่อน คำกล่าวนี้สะท้อนถึงความพยายามที่จะลดทอนความตึงเครียดหรืออาจเป็นกลยุทธ์ในการชะลอการเผชิญหน้าโดยตรง
การเผชิญหน้าระหว่างสองพรรคไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของตำแหน่งรัฐมนตรี แต่เป็นการต่อสู้เชิงกลยุทธ์เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองทางการเมือง มีการวิเคราะห์ว่าพรรคภูมิใจไทยอาจกำลังพยายาม รวบรวมเสียง สส. จากพรรคอื่น เพื่อเสริมสร้างฐานอำนาจของตนเอง
ตามยุทธศาสตร์ของ "นายใหญ่" จึงได้วางเกมต่อไป คือการ "ดึงเสียง" ฝ่ายค้านเข้ามาเติมจำนวนรัฐบาล โดยมีเป้าหมาย “รัฐบาล 270 เสียง”
จากรายงานของกรุงเทพธุรกิจ เปิดเผยว่า หากเช็กเสียง “2 ขั้ว” ในเวลานี้ สภาฯ มีสส. 495 คน หากต้องใช้เสียงกึ่งหนึ่งของสภาฯ เพื่อโหวตวาระต่างๆ ต้องมีอย่างน้อย 248 เสียง
จากเดิม “ขั้วรัฐบาล” 11 พรรค มีสส.ในมือ 324 เสียง หากตัดภูมิใจไทยออก 69 เสียง เหลือ 10 พรรค โดยรัฐบาลจะเหลือเสียงในมือ 255 เสียง แบ่งเป็น
ฉะนั้น ด้วยสภาวะเสียงปริ่มน้ำ ซึ่งเกินกึ่งหนึ่งมาเพียง 7 เสียง ต้องโฟกัสไปที่เสียงที่รัฐบาลต้องการนำเข้ามาเติม เป้าหมาย "รัฐบาล 270 เสียง" จะมีทั้งในส่วนของ สส.ที่ประกาศตัวข้ามขั้วมาก่อนหน้านี้ ได้แก่ พรรคไทยก้าวหน้า 1 เสียง คือ “ปูอัด” ไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ สส.กทม. และพรรคประชาชน 1 เสียง คือ กฤษฎิ์ ชีวะธรรมานนท์ สส.ชลบุรี พรรคพลังประชารัฐ 1 เสียง คือ กาญจนา จังหวะ สส.ชัยภูมิ พรรคพลังประชารัฐ ที่ประกาศย้ายไปพรรคกล้าธรรม
ขณะที่ "ขั้วฝ่ายค้าน" ซึ่งแต่เดิม มีอยู่ 171 เสียง แบ่งเป็น พรรคประชาชน 142 เสียง พรรคพลังประชารัฐ 20 เสียง และเป็นธรรม 1 เสียง หากตัด 3 เสียงทั้งในส่วนของพรรคประชาชน พรรคพลังประชารัฐ พรรคไทยก้าวหน้า พรรคละ 1 เสียง ที่ประกาศย้ายขั้วไปพรรคกล้าธรรมก่อนหน้านี้
หากสมการพรรคร่วมรัฐบาลเปลี่ยน ฝ่ายค้านจะเพิ่มตัวเลขจากภูมิใจไทยเข้ามา 69 เสียง ฝ่ายค้านจะขยับขึ้น เป็น 237 เสียง
การตัดสินใจเกี่ยวกับการปรับ ครม. ในส่วนของพรรคภูมิใจไทยยังคงอยู่ภายใต้อำนาจของนายอนุทินและนายเนวิน โดยยังไม่มีการนำเรื่องเข้าสู่มติพรรคอย่างเป็นทางการ
การเคลื่อนไหวครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นการ "เปิดเกมขู่ถอนตัว" เพื่อวัดใจ "นายใหญ่" ของเพื่อไทย และเป็นการโยนประเด็นสู่สาธารณะ เพื่อสร้างแรงกดดันต่อรัฐบาล หากเพื่อไทยยืนกรานที่จะยึดกระทรวงมหาดไทย ภูมิใจไทย จึงจะนำเรื่องเข้าสู่มติพรรคเพื่อดำเนินการถอนตัวต่อไป
การเมืองไทยในขณะนี้เข้าสู่ "เกมวัดใจ" ที่ทั้งสองฝ่ายต่างรู้ทันกัน และแต่ละก้าวเดินล้วนมีความหมายซ่อนอยู่ นอกจากนี้ยังมีการกล่าวถึง "Shadow Power" หรือผู้มีอำนาจที่อยู่เบื้องหลัง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อเกมการเมืองนี้
อ้างอิงข้อมูล : กรุงเทพธุรกิจ , เนชั่นอินไซต์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง